ประวัติอำเภอศรีเทพ
ประวัติอำเภอศรีเทพ
ศรีเทพเป็นเมืองโบราณที่ใหญ่เมืองหนึ่ง สร้างขึ้นก่อนที่สมัยขอมมีอำนาจ เข้าใจว่าพวกอินเดียซึ่งอพยพเข้ามาอยู่ในแหลมอินโดจีน คงจะตั้งขึ้นก่อน และต่อมาเมื่อขอมมีอำนาจใน ราว พ.ศ. 1400 คงจะชิงเมืองนี้ และซ่อมแซมตกแต่งให้แข็งแรงมั่นคงยิ่งขึ้น แล้วขยายเขตเมืองออกไปอีก ซากเมืองและซากโบราณสถานทั้งของพวกอินเดียและพวกขอมยังปรากฏอยู่ เมืองศรีเทพนี้อยู่ห่างจากจังหวัดเพชรบูรณ์ ประมาณ 122 กิโลเมตร ห่างจากอำเภอศรีเทพไปทางทิศตะวันออก ประมาณ 9 กิโลเมตร การเดินทางสะดวกสามารถ นำรถยนต์ส่วนตัวหรือรถบัสเข้าถึงตัวเมืองศรีเทพเมืองศรีเทพนี้ ตั้งขึ้นประมาณ 1,000 ปีเศษมาแล้วในสมัยขอมมีอำนาจ เดิมชื่อว่า “เมืองอภัยสาลี” เมื่อไทยได้อพยพเข้ามาอยู่ได้เปลี่ยนชื่อเมืองนี้ใหม่ว่า “เมืองศรีเทพ” เมืองศรีเทพมีเนื้อที่ประมาณ 2,000 ไร่เศษ รอบ ๆ บริเวณเมืองมีคูดินล้อมรอบ มีประตูเมืองทั้งสี่ทิศภายในเมืองมีพระปรางค์สมัยลพบุรีอยู่ 2 องค์ เรียกกันว่า “ปรางค์องค์พี่และปรางค์องค์น้อง” ในบริเวณมีสระน้ำเป็นแห่ง ๆ อยู่หลายสิบแห่ง ทางทิศเหนือนอกกำแพงเมืองมีสระน้ำอยู่ 2 สระ เรียกว่า “สระแก้ว” และ “สระขวัญ” เนื้อที่ทั้ง 2 สระประมาณ 10 ไร่ มีน้ำขังอยู่ตลอดปี ชาวเมืองได้ใช้น้ำในสระนี้บริโภคในสมัยก่อนเปลี่ยนแปลงการปกครองชาวเมือง ศรีเทพ ต้องส่งส่วยน้ำทั้ง 2 สระนี้ เพื่อนำไปประกอบพิธีน้ำพิพัฒน์สัตยา เพราะถือว่าน้ำทั้งสองสระนี้เป็นน้ำศักดิ์สิทธิ์ ผู้ใดขาดความจงรักภักดีในองค์พระมหากษัตริย์จะมีอันเป็นไปต่าง ๆ นานาภายในตัวเมืองศรีเทพใกล้ ๆ กับพระปรางค์ทั้งสององค์นี้มีมูลดินสูงจากพื้นดินประมาณ 1 เส้นเป็นวงกลมผ่าศูนย์ได้ประมาณ 1 เส้น ชาวบ้านแถบนี้เรียกกันว่า “เขาคลัง” เข้าใจว่าคงเป็นที่เก็บ ทรัพย์สมบัติของผู้ครองเมืองศรีเทพในสมัยก่อน เมื่อสมเด็จพระยาดำรงราชานุภาพได้เสด็จมาเมืองศรีเทพ โดยทางเรือสมัยก่อนนั้น ได้ตรวจดูชัยภูมิเมืองและทรงได้เล่าเรื่องเมืองศรีเทพ ไว้ในรายงานการตรวจราชการเมืองเพชรบูรณ์ เมื่อ พ.ศ. 2447 ตอนหนึ่งว่า เมืองศรีเทพนี้ตั้งอยู่ตรงที่ราบก่อนจะถึงเมืองมีโคกหินแท่งศิลาแลงทิ้งอยู่หลายแห่ง เข้าใจว่าคงเป็นเทวสถานขนาดย่อม ๆ เทวรูปและคิวลึงค์ ศิลาก็จมดินอยู่กลางโคกเหล่านี้ ครั้นถึงเมืองมีสระใหญ่อยู่นอกเมืองสระหนึ่งเรียกว่า “สระแก้ว” ตัวเมืองมีกำแพงเป็นเนินดินและมีคูรอบเมือง ตรงประตูเข้าเมืองมีศิลาแลงแผ่นใหญ่ ๆ กองเรียงยื่นออกมาเป็นป้อม ข้างในเมืองมีโคกอิฐบ้าง ศิลาแลงบ้างหลายแห่ง บางแห่งกองศิลาแลงซึ่งทำเป็นแท่งพังสุมกันสูงกว่าสามวาก็มี ที่กลางเมืองมีสี่เหลี่ยมอีกสระหนึ่งกว้างประมาณสักเส้นหนึ่ง ยาวสักสามเส้น ออกจากสระไปผ่านกำแพงอีกชั้นหนึ่งจึงถึงเทวสถานเป็นปรางค์ สามยอด และมีปรางค์สองพี่น้องปรางค์หนึ่ง มีสระใหญ่อยู่ใกล้บริเวณปรางค์อีกสระหนึ่ง เรียกว่า “สระปรางค์” ตามลานในบริเวณปรางค์ พบรูปพระนารายณ์ รูปยักษ์ และรูปปั้นเทพารักษ์ ทำด้วยศิลา มีหลายรูปและมีแท่งศิลาสลักลวดลายอย่างเดียวกันกับที่เมืองมาย และวัดพนมวันเมืองนครราชสีมา ทิ้งอยู่มากถ้าขุดดูเห็นจะได้เครื่องศิลาโบราณที่นี้มีเหลืออยู่อีกมาก ฐานทักษิณปรางค์ก่อด้วยศิลาแลงปนศิลาทราย แต่ตัวปรางค์ก่อด้วยอิฐสนิทสนมฝีมือดูดีเหมือนยังทำค้างอยู่ด้วยมีรอยถือปูนแล้วยังมิได้ถือปูนบ้างพิเคราะห์ดูเครื่องศิลาที่เครื่องศิลาที่ปรางค์เป็นอย่างเดียวกันกับที่วัดชั้นและที่เมืองพิมาย เก่าแก่กว่าอิฐที่ก่อปรางค์ ทั้งน้ำหนักดูก็เหลือกำลังที่ปรางค์อิฐจะทานเครื่องศิลาเหล่านั้นได้ จึงเป็นเหตุให้คิดว่าเมืองศรีเทพนี้เห็นจะสร้างเป็น 2 ยุค คือเป็นเมืองขอมสร้างรุ่นเดียวกับเมืองพิมายยุคหนึ่งและหักพังทรุดโทรมไป มีใครมาสร้างขึ้นอีกยุคหนึ่ง แต่ทำค้างหาความสำเร็จไม่ สันนิษฐานและลวดลายปรางค์อิฐที่ทำขึ้นใหม่ เหมือนกับปรางค์วัดศรีสวายเมืองสุโขทัย และเทวสถานที่เมืองลพบุรถ้าจะสันนิษฐานลงไปว่าสร้างเมื่อใด ในชั้นหลังคาเป็นของไทยสร้างเมื่อตอนก่อนหรือตอนต้นตั้งราชวงศ์พระร่วง สมัยผู้ครองเมืองสุโขทัย เมืองลพบุรี และเมืองศรีเทพ ทำนองจะเป็นเจ้าด้วยกันศิลาจารึก พบที่เมืองศรีเทพครั้งนี้เป็นของแปลกมาก สันนิษฐานคล้ายตะปูหัวเห็ดข้างปลายที่เสี้ยมแหลมสำหรับฝังดิน ขัดเกลี้ยง แต่ที่หัวเห็ดจารึกอักษรไว้ที่นั่นเป็นอักษร “คฤษ” ขึ้นก่อนหนังสือขอม แต่ตรงที่จารึกแตกชำรุดเสียหายมาก ได้เอาศิลานี้ลงมาจากกรุงเทพฯที่อ่านดูเป็นภาษาสันสกฤตมีคำว่า “ขลัง” ซึ่งแปลว่า “หลัก” จึงเข้าใจว่าศิลาแท่งนี้คือหลักเมืองศรีเทพแบบโบราณเขาทำเป็นรูปตะปูตอกลงไว้ในแผ่นดิน ประสงค์ว่า จะให้มั่นคง โบราณวัตถุที่พบที่เมือศรีเทพส่วนมากเป็นของในศาสนาพราหมณ์ไม่พบของที่เป็นศาสนาพุทธเลย เมืองศรีเทพจึงเป็นเทวสถานทางศาสนาพราหมณ์ นอกจากนั้นเมืองศรีเทพ ยังมีถนนสายหนึ่งตัดตรงจากเมืองศรีเทพไปสู่เมือง “เร็ง” ซึ่งอยู่ทางทิศเหนือของอำเภอวิเชียรบุรี มีความยาวประมาณ 38 กิโลเมตร มีตำนานการสร้างถนนสายนี้ว่า เจ้าเมืองศรีเทพกับเจ้าเมืองเร็ง จะทำพิธีแต่งงานบุตรเจ้าเมืองศรีเทพ กับธิดาเจ้าเมืองเร็งโดยสัญญากันว่า เจ้าเมืองศรีเทพจะต้องสร้างถนนจากเมืองศรีเทพ ไปยังเมืองเร็งให้เสร็จภายในหนึ่งคืนก่อนพระอาทิตย์ขึ้น เพื่อแสดงความสามารถ ทางเมืองศรีเทพได้พยายามสร้างถนนอย่างเร่งรีบจนใกล้จะเสร็จ เนื่องจากเมืองเร็งจุดโคมไฟไว้คอยต้อนรับ จึงเกิดสำคัญผิดคิดว่าดวงอาทิตย์ขึ้นจึงหยุดการทำถนนไว้ดังที่ปรากฏอยู่ทุกวันนี้ ส่วนเจ้าเมืองเร็งจะยกธิดา ให้บุตรเจ้าเมืองศรีเทพหรือไม่นั้นตำนานไม่ได้กล่าวถึงตอนนี้ไว้เลยเมืองศรีเทพคงจะรุ่งเรืองมาช่วงระยะหนึ่งแล้วจึงกลายเป็นเมืองร้างไป เหตุที่เมืองศรีเทพร้างไปเพราะเหตุใดนั้นยังไม่ทราบแน่ชัด มีตำนานเล่าถึงความพินาศของเมืองศรีเทพต่อ ๆ กันมาว่า ในสมัยเมืองศรีเทพยังเจริญรุ่งเรืองอยู่นั้น เจ้าเมืองศรีเทพเป็นเพื่อนรักเพื่อนเกลอกับฤาษีผู้เฝ้าบ่อน้ำร้อนใกล้เมือง อยู่มาวันหนึ่ง เจ้าเมืองศรีเทพได้ไปหาฤๅษีที่บ่อน้ำร้อนและปรารภว่า อยากจะมีอายุยืนนานเพื่อจะได้บูรณะเมืองศรีเทพ ให้เจริญยิ่ง ๆ ขึ้น ฤๅษีจึงบอกให้เจ้าเมืองศรีเทพกระโดดลงไปในบ่อน้ำร้อนแล้วตนจะเอายาโรยให้ฟื้นคืนชีพ ขึ้นมาแล้วจะอายุยืน เจ้าเมืองศรีเทพเห็นน้ำร้อนเดือดก็มีความกลัว ไม่กล้ากระโดดลงไป จึงขอให้ฤๅษีผู้เฝ้าบ่อน้ำร้อนกระโดดลงไปก่อน แล้วจะเอายาโรยให้ เมื่อฤๅษีกระโดดลงไปในบ่อน้ำร้อนอันเดือดพล่านได้ทำให้ ร่างของฤๅษีละลายไปทันทีที่เจ้าเมืองศรีเทพเห็นเช่นนั้นก็ตกใจเป็นอันมาก รีบกลับเข้าเมืองทันที่โดยมิได้นำยาไปโรยให้ฤๅษีฟื้นคืนชีพขึ้นมา อยู่มาอีก 3 ปี ฤๅษีองค์ใหญ่ซึ่งอยู่เขาไกรลาศเป็นผู้ควบคุมฤๅษีองค์อื่น ๆ เห็นฤๅษีที่รักษาบ่อน้ำร้อนหายไป จึงมาดูเห็นน้ำในบ่อน้ำร้อนเดือดพล่านอยู่ก็รู้ว่าฤาษีตายในบ่อน้ำร้อน จึงโรยยาลงไป ฤๅษีที่เฝ้าบ่อก็ฟื้นคืนชีวิต และมีความโกรธแค้นเจ้าเมืองศรีเทพเป็นอันมากได้แปลงตัวเป็นลูกโควิ่งอ้อมเมือง 3 รอบ แล้ววิ่งเข้าไปตายในเมืองในใจกลางเมืองศรีเทพเมื่อชาวเมืองและเจ้าเมืองศรีเทพชำแหละเนื้อโคกิน ก็มีอาการท้องร่วงล้มตายกันมากมายพวกที่เหลืออยู่อพยพออกจากเมืองเอาสมบัติไปซ่อนที่เขาถมอรัตน์ เมืองศรีเทพจึงล้างลงเพราะเหตุนี้ จากตำนานอันนี้ ชวนให้เข้าใจว่า เมืองศรีเทพอาจจะร้างเพราะเกิดอหิวาตกโรคแบบเมืองอู่ทอง ชาวเมืองจึงได้ย้ายไปอยู่ที่อื่น จนมีอันต้องร้างไปก็ได้ ในปัจจุบันประชาชนที่สืบเชื้อสายมาจากคนเมืองศรีเทพในสมัยดั้งเดิมคงมีอยู่ แต่ได้อพยพไปอยู่ที่บริเวณบ้านนาตระกรุดและบ้านศรีเทพน้อย ซึ่งอยู่ห่างจากเมืองศรีเทพประมาณ 5 กิโลเมตร ส่วนประชาชนในหมู่บ้านอื่น ๆ เป็นราษฎรที่อพยพเข้ามาอยู่ใหม่จากบริเวณจังหวัดใกล้เคียงทั้งสิ้น อำเภอศรีเทพเดิมเป็นท้องที่ขึ้นอยู่กับอำเภอวิเชียรบุรี จังหวัดเพชรบูรณ์ ต่อมาได้แยกจากอำเภอวิเชียรบุรี มาตั้งเป็นกิ่งอำเภอศรีเทพ เมื่อวันที่ 13 ธันวาคม 2513 และได้ยกฐานะเป็นอำเภอเมื่อวันที่ 8 สิงหาคม 2519
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น